หนังสือมังคลัตถทีปนี

หนังสือมังคลัตถทีปนี เป็นคัมภีร์ชั้นฎีกา อธิบายความในมงคลสูตรที่มาในพระไตรปิฎก[1][2] โดยมงคลสูตรเป็นคำสอนประเภทเนยยะ คือมีข้อความเป็นร้อยแก้ว ผสมร้อยกรอง

ผู้รจนาคัมภีร์มังคัลตถทีปนี คือ พระสิริมังคลาจารย์[3] พระภิกษุชาวเมืองเชียงใหม่ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ผลงานของท่านจากหลักฐานแสดงประวัติ มีอยู่สี่เรื่องคือ เวสสันดรทีปนี จักกวาฬทีปนี สังขยาปกาสกฎีกา มังคลัตถทีปนี

มงคลสูตร เป็นพระสูตรสำคัญบทหนึ่ง ในพระพุทธศาสนาเถรวาท เพราะมีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธ มงคลภายนอก ที่นับถือเหตุการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นมงคลหรือมีมงคล โดยอธิบายว่าในทัศนะพระพุทธศาสนานั้น มงคลของมนุษย์และเทวดาย่อมเกิดจากการกระทำอันได้แก่ มงคลภายใน คือต้องกระทำความดี และความดีนั้นจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ามงคลเองโดยไม่ต้องไปอ้อนวอนกราบไหว้ขอมงคลจากนอกตัว

เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาในพระสูตรแล้ว ก็ได้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาปฏิเสธมงคลภายนอกโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นจุดเด่นในพระพุทธศาสนา

 

ประวัติ

ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา อธิบายความโดยพิสดารถึงสาเหตุของการที่พระพุทธเจ้าตรัสมงคลสูตรไว้ว่า ประมาณ 12 ปีก่อนพุทธกาล ประชาชนต่างตื่นตัวว่า อะไรคือเหตุที่ทำให้ชีวิตเป็นมงคล กล่าวว่า บ้างก็ว่า วัตถุสิ่งของ เช่น ต้นไม้ สัตว์ หรือว่ารูปเคารพต่าง ๆ จะทำให้ชีวิตเป็นมงคล[3] เรื่องราวการอภิปรายเรื่องมงคล ก็ไปถึงภุมเทวา คือเทวดาในระดับพื้นดิน เทวดาก็สนทนากันว่าอะไรคือมงคล ประเด็นนี้ก็ลุกลามไปถึงอากาศเทวา ไปถึงสวรรค์ชั้นต่าง ๆ จนถึงพรหมโลกชั้นสุธาวาส ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ของผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีแล้ว มีความเข้าใจในเรื่องมงคลชีวิตเป็นอย่างดี แต่ไม่สามารถอธิบายได้ จึงได้ประกาศให้เทวดาทราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จลงมาตรัสรู้ธรรมในอีก 12 ปี ให้ไปถามพระพุทธองค์ในตอนนั้น

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว คืนหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ใกล้เมืองสาวัตถี ท้าวสักกเทวราชได้นำหมู่เทวดาเข้าเฝ้า และบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งทูลถามพระองค์ว่า อะไรคือมงคลของชีวิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงหลักมงคลสูตร ซึ่งมีทั้งหมด 10 หมวด นับเป็นรายการได้ 38 ประการ

(ผู้ทรงความรู้บางท่านที่จำแนกโดยการแปลจากภาษาบาลี นับได้ 37 ประการ เพราะ "การสงเคราะห์บุตรและคู่ครอง" เป็นสองข้อที่อยู่ในวลีเดียว).

 

เนื้อหา

ตามเนื้อหาในพระสูตร มงคลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยึดถือวัตถุ แต่ยึดถือการปฏิบัติฝึกฝนตนเอง ซึ่งมีอยู่ 38 ประการ ทั้งหมดจำแนกอยู่ในเนื้อหาโดยแบ่งเป็น ๑๐ หมวด ดังนี้

หมวดที่ ๑

  1. ไม่คบคนพาล
  2. คบบัณฑิต
  3. บูชาคนที่ควรบูชา

หมวดที่ ๒

  1. อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
  2. มีบุญวาสนามาก่อน
  3. ตั้งตนชอบ

หมวดที่ ๓

  1. เป็นพหูสูต
  2. มีศิลปะ
  3. มีวินัย
  4. มีวาจาสุภาษิต

หมวดที่ ๔

  1. บำรุงมารดาบิดา
  2. เลี้ยงดูบุตร
  3. สงเคราะห์ภรรยา(สามี)
  4. ทำงานไม่คั่งค้าง

หมวดที่ ๕

  1. บำเพ็ญทาน
  2. ประพฤติธรรม
  3. สงเคราะห์ญาติ
  4. ทำงานไม่มีโทษ

หมวดที่ ๖

  1. งดเว้นจากบาป
  2. สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
  3. ไม่ประมาทในธรรม

หมวดที่ ๗

  1. มีความเคารพ
  2. มีความถ่อมตน
  3. มีความสันโดษ
  4. มีความกตัญญู
  5. ฟังธรรมตามกาล

หมวดที่ ๘

  1. มีความอดทน
  2. เป็นผู้ว่าง่าย
  3. เห็นสมณะ
  4. สนทนาธรรมตามกาล

หมวดที่ ๙

  1. บำเพ็ญตบะ
  2. ประพฤติพรหมจรรย์
  3. เห็นอริยสัจจ์
  4. ทำพระนิพพานให้แจ้ง

หมวดที่ ๑๐

  1. จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
  2. จิตไม่โศก
  3. จิตปราศจากธุลี
  4. จิตเกษม

อย่างไรก็ตาม แม้พระพุทธองค์จะทรงแสดงธรรมไว้ชัดเจนดีแล้ว ก็มีผู้ที่เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง จึงได้ส่งผลมาถึงปัจจุบันนี้ แนวทางการยึดถือความเป็นมงคล จึงมีอยู่ 2 แนวทาง คือ

  1. มงคลจากการมีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้
  2. มงคลจากการฝึกตัว

 

อ้างอิง

  1. พระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ มงคลสูตร. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. เข้าถึงได้จาก. เข้าถึงเมื่อ 9-6-52
  2. อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ มงคลสูตร. อรรถกถาพระไตรปิฎก. เข้าถึงได้จาก. เข้าถึงเมื่อ 9-6-52
  3. พระสิริมังคลาจารย์. มงคลทีปนี. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2540

ที่มา วิกิพีเดีย

 

© Copyright pariyat.com 2024. by กองทะเบียนและสารสนเทศ

Search